ทำไมอินเดียอาจเป็นจุดแวะถัดไปของผู้ลงทุน?

อินเดียกำลังเผชิญกับการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง การลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น และผลประกอบการที่น่าพอใจ ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยที่เป็นวัฏจักรในทางบวกแล้ว การปฏิรูปก็ยังค่อยๆ เห็นผลเมื่อได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถรับประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่เอื้อ การขยายขีดความสามารถของภาคการผลิต และกระแสการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีความเสมอภาคแห่งนี้

เศรษฐกิจอินเดียเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในขณะที่นักวิเคราะห์ต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของตลาดพัฒนาแล้วลงสู่ภาวะถดถอย (อย่างไม่เป็นทางการ) การเติบโตของสินเชื่อของอินเดียอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ขณะภาคธุรกิจเอกชนแสดงให้เห็นถึงระดับความเชื่อมั่นที่สูงและการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ดูรูปที่ 1 และ 2 ขณะเดียวกัน หนี้ภาคเอกชนในปัจจุบันก็อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% ของ GDP และอยู่ในทิศทางที่ลดลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้นตลอดช่วงไม่กี่ปีมานี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งชี้ว่าอินเดียน่าจะยังเห็นทิศทางดอกเบี้ยกลับสู่ระดับปกติได้ต่อไป

รูปที่ 1 : การเติบโตของสินเชื่อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

why-india-may-be-investors-next-port-of-call-fig-1

รูปที่ 2 : แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ

why-india-may-be-investors-next-port-of-call-fig-2

แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น แต่การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเดินหน้าต่อ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทั้งในส่วนความสามารถในการซื้อบ้าน อัตราบ้านเช่าที่ยังว่าง และจำนวนบ้านในสต็อก ต่างชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง การเฝ้าติดตามของเราแบบ bottom-up เผยให้เห็นถึงอำนาจในการกำหนดราคาที่อยู่ภายในเซ็กเตอร์แม้จะตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมของเงินเฟ้อก็ตาม นอกจากนี้ แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ย repo rate ในขนาด 50bps เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 มาเป็น 5.4% จาก 4.9% ในเดือนมิถุนายน แต่เราสังเกตเห็นว่าอัตราที่แท้จริงยังคงติดลบอยู่ประมาณ -2% ข้อมูลดังกล่าวจึงบ่งชี้ว่าสภาพแวดล้อมทางการเงินยังไม่ตึงตัวมากเกินไปจนมาสกัดกั้นการฟื้นตัว

ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของอินเดียส่วนหนึ่งเกิดจากภาคส่งออกที่ปัจจุบันอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่า 20% ของ GDP ทำให้ประเทศไม่มีความเสี่ยงจากการที่ความต้องการทั่วโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้ยังช่วยให้การส่งออกของอินเดีย (ไม่รวมสินค้าเครื่องประดับ) มีสัดส่วนของสินค้าฟุ่มเฟือยที่น้อยลง ขณะที่สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ยาและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งไม่น่าจะเผชิญกับความต้องการที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริงแล้ว การส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์ของอินเดียนั้นกำลังขยายตัวขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในอดีต1

ความแข็งแกร่งดังกล่าวสะท้อนให้เห็นผ่านตัวเลขผลประกอบการ ซึ่งอินเดียทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากตลาดเกิดใหม่ ดังแสดงในรูปที่ 3 ข้อมูลระบุว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของหุ้นผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ซึ่งอยู่ในกลุ่มสื่อสารนั้นสามารถกลับขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับก่อนเกิด COVID แล้ว ซึ่งเป็นการย้ำถึงการฟื้นตัวจากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจและความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย ทั้งนี้ การที่ภาคธุรกิจของอินเดียปรับขึ้นราคาในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน 2022 และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงนับตั้งแต่นั้น จึงอาจช่วยหนุนให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการ

รูปที่ 3 : การปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 2022 (ปรับฐานเริ่มต้นจาก 100)

why-india-may-be-investors-next-port-of-call-fig-3

ทำไมต้องอินเดีย?

นอกเหนือจากเหตุผลด้านวัฏจักรดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสาเหตุอีกหลายประการที่ทำให้อินเดียกลายเป็นจุดหมายปลายด้านการลงทุนที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นภายใต้มุมมองระยะยาว

ประชากรอินเดียยังคงเติบโต โดยเฉพาะกำลังคนวัยหนุ่มสาวและกลุ่มวัยทำงานซึ่งกำลังขยายฐานใหญ่ขึ้น ช่วยให้อินเดียมีข้อได้เปรียบเหนือประเทศตะวันตกและจีนที่มีกลุ่มประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชากรของอินเดียนั้นคาดว่าจะสูงถึงเกือบ 1.5 พันล้านคนในปี 2030 และ 1.64 พันล้านคนในปี 20472 โดยในปี 2020 อินเดียมีสัดส่วนประชากร 67% อยู่ในกลุ่มวัยทำงานที่มีอายุ 15-64 ปีตามข้อมูลของสหประชาชาติ และจะเพิ่มขึ้นอีก 101 ล้านคนที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มภายในปี 2030 ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนของคนวัยทำงานเพิ่มแตะจุดสูงสุด และจะมีอีก 82 ล้านคนที่จะเพิ่มเข้ามาในกลุ่มภายในปี 2050 ดูรูปที่ 4 ในขณะที่อายุเฉลี่ยของประชากรอินเดียในปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 29 ปี ซึ่งต่ำกว่าจีนที่ประชากรมีอายุเฉลี่ย 37 ปี และสหรัฐที่มีอายุเฉลี่ย 38 ปี การเพิ่มขึ้นของแรงงานอายุน้อยและขนาดตลาดภายในประเทศที่ใหญ่และกำลังขยายตัว จึงอาจช่วยผลักดันให้อินเดียขึ้นเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาด 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2047 ตามรายงานของ the Confederation of Indian Industry อย่างไรก็ตาม อินเดียจำเป็นต้องฝึกอบรมแรงงานและสร้างงานให้ได้เพียงพอเพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่เป็นอยู่นี้

รูปที่ 4 : ส่วนเพิ่มของประชากรที่เข้าสู่กลุ่มวัยทำงาน (15-64 ปี) เทียบกับเอเชียและตลาดพัฒนาแล้ว (หน่วย: ล้านคน)

why-india-may-be-investors-next-port-of-call-fig-4

โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการผลิตหรือ Production Linked Incentives (PLI) ของรัฐบาลอินเดียได้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและช่วยในการจัดหางานที่ประเทศต้องการ โครงการดังกล่าวนำเสนอสิ่งจูงใจให้กับบรรดาบริษัทผู้ผลิตที่มีสิทธิ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4% ถึง 6% ในช่วงระยะเวลา 4-6 ปีใน 14 เซ็กเตอร์ ซึ่งรวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และฮาร์ดแวร์ด้านไอที โทรคมนาคม เภสัชกรรม ชุดอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ สินค้ากลุ่มโลหะและเหมือง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนขนาดใหญ่ โดรน และเซลล์แบตเตอรี่ที่มีส่วนประกอบเคมีขั้นสูง โครงการนี้เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 และจนถึงปัจจุบันมีบริษัทจำนวนกว่า 327 แห่งที่ได้รับการอนุมัติภายใต้โครงการดังกล่าวซึ่งคาดว่าได้สร้างเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 32.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ3

อินเดียยังได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริษัทระดับโลกที่ได้ทำการกระจายห่วงโซ่อุปทานของตน เราได้เห็นบริษัทในกลุ่ม Electronic Manufacturing Services (EMS) และห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากคู่แข่งในภูมิภาค ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยรวมค่อนข้างอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพที่ 82 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2021 และ 83.6 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงการตอบรับจากผู้ลงทุนทั่วโลก ดัชนีชี้วัด Cushman & Wakefield's 2021 Global Manufacturing Risk Index ซึ่งได้ประเมินประเทศที่มีความได้เปรียบมากที่สุดสำหรับการผลิตทั่วโลกจาก 47 ประเทศในยุโรป อเมริกา และเอเชียแปซิฟิก ได้จัดให้อินเดียอยู่ในอันดับ 2 ตามกรณีฐาน รายงานระบุว่าการจัดตั้งฐานการผลิตในอินเดียของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เภสัชกรรม และวิศวกรรม นับเป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากเซ็กเตอร์เหล่านี้ยังคงเป็นจุดสนใจในระหว่างที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังดำเนินต่อไป ความสามารถของอินเดียในการทำให้เป็นไปตามข้อกำหนดของการเอาท์ซอร์สยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย และหากมองไปในอนาคต การปฏิรูปเพิ่มเติมในส่วนของกฎหมายที่ดินและแรงงานก็ถือว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของอินเดียในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับโลก

จัดการกับความท้าทาย

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอินเดีย อยู่ที่ 6.7% ในเดือนกรกฎาคม ลดลงจาก 7% ในเดือนมิถุนายน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาอาหารในประเทศที่ลดลงมาบ้างอาจช่วยทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะสั้นดูดีขึ้น เราคิดว่าตลาดยังเห็นคุณค่าน้อยเกินไปต่อการที่ผู้กำหนดนโยบายและผู้บริโภคของอินเดียมีประสบการณ์รับมือกับเงินเฟ้อในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแตกต่างจากสหรัฐที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีในเดือนกรกฎาคม โดยผลกระทบต่ออินเดียนั้นอาจเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้มากกว่า

การได้รับความนิยมมากขึ้นของอีคอมเมิร์ซในอินเดียอาจช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การชำระเงินผ่านดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างมากในอินเดียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นในเซ็กเตอร์ที่อยู่นอกระบบ ดูรูปที่ 5 มีข้อสังเกตว่าการได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซ ส่งผลด้านลบต่อราคาในระบบเศรษฐกิจของชาติตะวันตก โดยในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานวิจัยอย่าง Oxford Economics สังเกตว่าภาวะเงินฝืดในสหรัฐที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางดิจิทัลนั้นอยู่ในระดับสูงระหว่างช่วงปี 2006-2008 ก่อนจะชะลอตัวลงหลังจากนั้น แต่ก็ยังอยู่ที่ประมาณ -2% ต่อปีในปี 2015 และ 2016

รูปที่ 5 : ธุรกรรมค้าปลีกในรูปแบบดิจิทัล (% ต่อ GDP)

why-india-may-be-investors-next-port-of-call-fig-5

การขาดดุลการค้าของอินเดียทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 31.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2022 จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นและเงินรูปีที่อ่อนค่าลง นอกจากนั้น การขาดดุลการค้ายังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากการส่งออกสินค้าปิโตรเลียมที่ร่วงลง 37% จากเดือนก่อนหน้าหลังจากที่รัฐบาลประกาศเก็บภาษีบริษัทน้ำมันที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การขาดดุลการค้าอาจลดลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแผ่วลงตามอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแรง สถานะของอินเดียในฐานะผู้ส่งออกสุทธิในสินค้ากลุ่มอาหารและเกษตรยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นได้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งก็สามารถนำมาใช้สนับสนุนให้ค่าเงินรูปีมีเสถียรภาพได้หากจำเป็น

จุดแวะแห่งใหม่สำหรับผู้ลงทุน

โดยทั่วไปแล้วอินเดียอาจไม่ได้เป็นตลาดที่ผู้ลงทุนนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อพิจารณาแหล่งกระจายการลงทุนแบบเพียงตลาดเดียวในเอเชีย อย่างไรก็ตาม ด้วยการปฏิรูปที่ค่อยๆ เห็นผล ตลาดหุ้นของอินเดียก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับประโยชน์จากโครงสร้างด้านประชากรที่เอื้อ การขยายขีดความสามารถของภาคการผลิต และกระแสการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีความเสมอภาคแห่งนี้ ในบทความก่อนหน้านี้ เราชูอินเดียเป็นตลาดหุ้นที่มีความหลากหลายมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งผู้ลงทุนพร้อมกลยุทธ์เชิงรุกที่มีประสบการณ์สามารถเพิ่มค่าอัลฟ่าได้อย่างมีนัยยะจากการตัดสินใจลงทุนแบบที่ไม่อิงเกณฑ์มาตรฐาน การมองมุ่งไปยังความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของอินเดียและแรงขับเคลื่อนในระยะยาวซึ่งมีความได้เปรียบ อาจทำให้ผู้ลงทุนต้องการกลับมาคิดทบทวนจุดแวะถัดไปของพวกเขาก็เป็นได้

Sources:
1 Credit Suisse estimates. Ministry of Commerce. 11 January 2022.
2 Confederation of Indian Industry.
3 Morgan Stanley Research. Capex Monitor – Tracking Macro and Micro indicators. 11 July 2022.

This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in:

Singapore and Australia (for wholesale clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore, is exempt from the requirement to hold an Australian financial services licence and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Australian laws.


Hong Kong by Eastspring Investments (Hong Kong) Limited and has not been reviewed by the Securities and Futures Commission of Hong Kong.


This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in Thailand by TMB Asset Management Co., Ltd.


Indonesia by PT Eastspring Investments Indonesia, an investment manager that is licensed, registered and supervised by the Indonesia Financial Services Authority (OJK).


Malaysia by Eastspring Investments Berhad (531241-U).


United States of America (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is registered with the U.S Securities and Exchange Commission as a registered investment adviser.


European Economic Area (for professional clients only) and Switzerland (for qualified investors only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A., 26, Boulevard Royal, 2449 Luxembourg, Grand-Duchy of Luxembourg, registered with the Registre de Commerce et des Sociétés (Luxembourg), Register No B 173737.


United Kingdom (for professional clients only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A. - UK Branch, 125 Old Broad Street, London EC2N 1AR.


Chile (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Chilean laws.


The afore-mentioned entities are hereinafter collectively referred to as Eastspring Investments.


The views and opinions contained herein are those of the author on this page, and may not necessarily represent views expressed or reflected in other Eastspring Investments’ communications. This document is solely for information purposes and does not have any regard to the specific investment objective, financial situation and/or particular needs of any specific persons who may receive this document. This document is not intended as an offer, a solicitation of offer or a recommendation, to deal in shares of securities or any financial instruments. It may not be published, circulated, reproduced or distributed without the prior written consent of Eastspring Investments. Reliance upon information in this posting is at the sole discretion of the reader. Please consult your own professional adviser before investing.

 

Investment involves risk. Past performance and the predictions, projections, or forecasts on the economy, securities markets or the economic trends of the markets are not necessarily indicative of the future or likely performance of Eastspring Investments or any of the funds managed by Eastspring Investments.


Information herein is believed to be reliable at time of publication. Data from third party sources may have been used in the preparation of this material and Eastspring Investments has not independently verified, validated or audited such data. Where lawfully permitted, Eastspring Investments does not warrant its completeness or accuracy and is not responsible for error of facts or opinion nor shall be liable for damages arising out of any person’s reliance upon this information. Any opinion or estimate contained in this document may subject to change without notice.


Eastspring Investments (excluding JV companies) companies are ultimately wholly-owned/indirect subsidiaries/associate of Prudential plc of the United Kingdom. Eastspring Investments companies (including JV’s) and Prudential plc are not affiliated in any manner with Prudential Financial, Inc., a company whose principal place of business is in the United States of America.