การลงทุนหุ้นเติบโตในเอเชีย : โอกาสอันเกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นของอินเดีย

นโยบายการเงินและการคลังของอินเดียกำลังประสานพลังร่วมสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลก็ได้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตเพื่อนำสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เราได้เห็นโอกาสทั้งในภาคเศรษฐกิจเก่าและใหม่ และยังตระหนักถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นอินเดียซึ่งไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดและอยู่นอกดัชนีมาตรฐาน

ในปี 2021 ดัชนี Indian Sensex สามารถทำผลงานได้เหนือกว่าดัชนี MSCI ไม่รวมญี่ปุ่น โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.8% ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากจากผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศและการเข้าจดทะเบียนของบริษัทที่มีชื่อเสียงหลายรายซึ่งมีโมเดลธุรกิจแบบสอดรับกับ new economy ได้มีส่วนช่วยผลักดันให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นในปีที่แล้ว แต่เราเชื่อว่ายังมีทั้งปัจจัยในระยะสั้นและระยะยาวที่ทำให้ตลาดอินเดียมีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนในขณะที่เศรษฐกิจอินเดียเริ่มหวนคืนกลับสู่วัฏจักรการเติบโตที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

มีการคาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดภายในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปี 2022 และ 2023 โดยคาดว่าจะเติบโต 9% ในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่สามารถทำสำเร็จในปีที่แล้ว1 ดัชนีชี้วัดแบบความถี่สูงหลายตัวซึ่งเราติดตามเช่น ความต้องการใช้ไฟฟ้า การขนส่งทางราง และการจัดเก็บภาษีนั้น ได้ขึ้นมาอยู่ในเปอร์เซ็นต์ไทล์ 10 อันดับแรกแล้วในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปี 2021 นอกจากนี้ อัตราการฉีดวัคซีนของประชากรอินเดียยังช่วยเพิ่มการเดินทางของผู้คนและการบริโภคอีกด้วย ข้อมูลระบุว่า 57.1% ของประชากรอินเดียได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน โดย 70% ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง2 อัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและระบบการรักษาพยาบาลที่มีความพร้อมมากขึ้นจึงสามารถเป็นเกราะป้องกันและบรรเทาผลอันเกิดจาก COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ดีขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ World Economic Forum ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของอินเดียสำหรับปีงบประมาณ 2023 เป็น 7.1% โดยคาดว่าผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของภาคการเงินจะช่วยหนุนกาขยายตัวของสินเชื่อ การลงทุน และการบริโภค3 สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือข้อมูลที่ได้รับจากการประชุมทางโทรศัพท์เกี่ยวกับผลประกอบการล่าสุด ซึ่งฝ่ายบริหารของธนาคารได้เน้นย้ำถึงความต้องการสินเชื่อที่มีการตกค้างอยู่ในทุกกลุ่มธุรกิจ และดูเหมือนจะมีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของตน

อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 6.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 4 ถึง 6% เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกประเมินให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอินเดีย แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจจะยังติดลบไปจนถึงไตรมาสที่สามของปี 2022 ซึ่งจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ดูรูปที่ 1 อย่างไรก็ตาม

ราคาน้ำมันที่สูงอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากสถานการณ์รัสเซีย/ยูเครนอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของอินเดีย โดยในขณะนี้ระดับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินเดียอยู่ที่ 22% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ ได้ช่วยให้ธนาคารกลางมีความยืดหยุ่นในการจัดการกับความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนี้ ถ้าหากพันธบัตรรัฐบาลอินเดียถูกเพิ่มเข้าไปคำนวณในดัชนีพันธบัตรโลกในปีนี้ การไหลเข้าของเงินทุนที่จะเกิดขึ้นตามมาก็น่าจะช่วยหนุนค่าเงินรูปีด้วยเช่นกัน

รูปที่ 1 : อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในอินเดียคาดว่าจะยังติดลบต่อไปจนถึง 3Q22

growth-investing-in-asia-riding-on-the-indian-recovery-fig-01

ส่วนในภาคการคลัง การตั้งงบประมาณปี 2022 ของอินเดียยืนยันถึงความพยายามในการผลักดันการเติบโตที่นำโดยรายจ่ายด้านการลงทุน มีการคาดการณ์ว่า Capex จะเพิ่มขึ้น 35% จากปีที่แล้วและคิดเป็น 26% ของงบประมาณปี 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 23% ทั้งนี้ การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายเพื่อการผลิตในประเทศ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ตลอดจนการเปลี่ยนสู่ดิจิทัล จะถือเป็นกุญแจสำคัญ

การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลพร้อมพลิกโฉมการเติบโตของอินเดีย

การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลหรือ Digitalisation จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักต่อการเติบโตและผลประกอบการในอนาคต ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอินเดียมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 480 ล้านคน และในช่วงเวลาเดียวกัน การตั้งราคาในส่วนการรับส่งข้อมูลลดลง 98% ส่งผลให้ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อผู้ใช้เพิ่มขึ้น 16 เท่า ดูรูปที่ 2 นอกจากนี้ ภาวะการระบาดใหญ่ยังเร่งให้เกิดการใช้ช่องทางดิจิทัลในหลายภาคส่วนด้วยเช่นกัน กระแสการแปลงเป็นดิจิทัลจะนำมาสู่การเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ซึ่งช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่วยภาคธุรกิจในหลายด้าน เช่น เอื้อให้บริษัทสามารถขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าในเมืองระดับ 3

ได้อย่างรวดเร็วและด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เป็นต้น ซึ่งสุดท้ายก็จะนำไปสู่รายได้ที่สูงขึ้นและอัตรากำไรที่ดีขึ้น กระแสการแปลงเป็นดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยังช่วยให้เซ็กเตอร์ใหม่ๆ เช่น ed-tech, fintech, e-commerce สามารถสร้างงานได้เพิ่มขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน Digitalisation จะทำให้การดำเนินโครงการด้านสังคมต่างๆ ของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเกิดการรั่วไหลน้อยลง

รูปที่ 2 : การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลกระตุ้นให้เกิดโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ

growth-investing-in-asia-riding-on-the-indian-recovery-fig-02

อินเดียพึ่งพาถ่านหินในสัดส่วน 70% สำหรับการผลิตไฟฟ้าในประเทศ ขณะที่รัฐบาลอินเดียได้เร่งเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ในการจัดทำงบประมาณล่าสุดได้มีการออกมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและลดมลพิษจากเชื้อเพลิง จากนโยบายสนับสนุนประกอบกับการมุ่งเน้นของภาคเอกชนในด้าน ESG มากขึ้น และความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นนั้น คาดว่าจะช่วยผลักดันกำลังการผลิตแผงโซลาร์ของอินเดียได้ถึง 400% หรือเพิ่มขึ้นจาก 8GW ณ เดือนมีนาคม 2021 มาอยู่สูงถึง 43GW ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2025 เราได้เห็นโอกาสการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเช่นเดียวกับในบริษัทต่างๆ ที่กำลังแสวงหาวิธีปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนให้ดียิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงความพยายามในการยกเว้นภาษีนำเข้าในกลุ่มสินค้าทุน การกระทำดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มแรงผลักดันให้กับธีม "Made in India" ได้มากขึ้น ซึ่งเราได้เห็นการเพิ่มขึ้นของยอดส่งออกและการเพิ่มกำลังการผลิตของอินเดียในหลายภาคส่วนตลอดช่วงการระบาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทระดับโลกพยายามหาทางกระจายห่วงโซ่อุปทานของตน ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าส่งออกไปยังตลาดโลกของอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าจะอยู่ที่ 1.9%4 แต่ก็ยังคงมีโอกาสอีกมากในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์แบบพิเศษ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างงานซึ่งถือว่ามีความจำเป็นมากและช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำของสินค้าส่งออกอินเดียและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงเวลาที่แนวโน้มการเติบโตทั่วโลกมีความไม่แน่นอน

ในขณะเดียวกัน โครงการที่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นสร้างรายได้จากทรัพย์สินของรัฐมูลค่า 81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ดูเหมือนว่าจะเห็นผลสำเร็จมากขึ้น โดยกระแสรายรับที่มีเข้ามาจะสามารถช่วยบรรเทาข้อจำกัดทางการเงินและเป็นการปลดล็อกด้านเงินทุนเพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้เพิ่มเติม

โอกาสสำคัญสำหรับผู้เลือกหุ้นเพื่อเพิ่มค่าอัลฟ่า

เราได้ชูประเด็นสำคัญไว้ก่อนหน้านี้ว่าอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีลักษณะของการกระจายความเสี่ยงมากที่สุดในเอเชีย ด้วยการมีกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ได้รับรายได้จากทั้งภายในและนอกประเทศ ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้เลือกหุ้นเพื่อเพิ่มค่าอัลฟ่าและยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่จะได้เปิดรับหุ้นอินเดียเข้าสู่พอร์ตการลงทุนของตน และสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถออกนอกขอบเขตการลงทุนแบบปกติได้ ก็ยังมีหุ้นที่อยู่นอกดัชนีมาตรฐานที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ดูรูปที่ 3

รูปที่ 3 : ผลตอบแทนของหุ้นที่น่าสนใจซึ่งอยู่นอกดัชนีมาตรฐานในอินเดีย (2017 - 2020)

growth-investing-in-asia-riding-on-the-indian-recovery-fig-3

มูลค่าหุ้นของอินเดียนั้นเป็นที่ยอมรับว่าไม่ได้มีราคาถูก แต่การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของผลประกอบการอาจเข้ามาช่วยชดเชยได้บ้าง เราคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวเนื่องจากฐานที่ต่ำ หลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พิเศษหลายๆ ครั้งในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงผลจากโครงการกำจัดธนบัตรเก่า (demonetisation program) ในปี 2016 การผ่านร่างกฎหมายภาษี GST ในปี 2017 และการล่มสลายของบริษัททางการเงินขนาดใหญ่นอกภาคธนาคารในปี 2018 ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่ภาวะการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างเข้มข้นทั่วทั้งกลุ่มการเงิน

หากมองไปข้างหน้า เราเห็นโอกาสในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระแสการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลได้สร้างโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะได้รับประโยชน์อย่างมากเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงในอินเดียเท่านั้นแต่รวมถึงทั่วโลก ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสในภาคเศรษฐกิจเก่าหรือ old economy อย่างเช่นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนที่ชี้ถึงความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ออกมาดีที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งการซื้อบ้านในอินเดียไม่เคยเข้าถึงได้มากขนาดนี้มาก่อน โดยการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลได้แบบทวีคูณ ทั้งผลที่มีต่อคุณภาพสินทรัพย์ของภาคธนาคารและความสามารถในการให้กู้ยืม ผลต่อการบริโภคจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนผลต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การก่อสร้างและปูนซีเมนต์

บทความนี้เป็นบทความแรกจากซีรีส์ที่มีทั้งหมดแปดบทความซึ่งได้สำรวจกลยุทธ์การลงทุนต่างๆ ที่ผู้ลงทุนสามารถนำไปปรับใช้เพื่อคว้าโอกาสที่กำลังเกิดขึ้นในเอเชีย

Sources:
1 Statista.
2 Returns are calculated based on peak to trough market drawdowns around the cited events for a maximum window of 3 months before and after.
3 Central and Eastern Europe, Middle East and Africa.

This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in:

Singapore and Australia (for wholesale clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore, is exempt from the requirement to hold an Australian financial services licence and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Australian laws.


Hong Kong by Eastspring Investments (Hong Kong) Limited and has not been reviewed by the Securities and Futures Commission of Hong Kong.


This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in Thailand by TMB Asset Management Co., Ltd.


Indonesia by PT Eastspring Investments Indonesia, an investment manager that is licensed, registered and supervised by the Indonesia Financial Services Authority (OJK).


Malaysia by Eastspring Investments Berhad (531241-U).


United States of America (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is registered with the U.S Securities and Exchange Commission as a registered investment adviser.


European Economic Area (for professional clients only) and Switzerland (for qualified investors only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A., 26, Boulevard Royal, 2449 Luxembourg, Grand-Duchy of Luxembourg, registered with the Registre de Commerce et des Sociétés (Luxembourg), Register No B 173737.


United Kingdom (for professional clients only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A. - UK Branch, 125 Old Broad Street, London EC2N 1AR.


Chile (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Chilean laws.


The afore-mentioned entities are hereinafter collectively referred to as Eastspring Investments.


The views and opinions contained herein are those of the author on this page, and may not necessarily represent views expressed or reflected in other Eastspring Investments’ communications. This document is solely for information purposes and does not have any regard to the specific investment objective, financial situation and/or particular needs of any specific persons who may receive this document. This document is not intended as an offer, a solicitation of offer or a recommendation, to deal in shares of securities or any financial instruments. It may not be published, circulated, reproduced or distributed without the prior written consent of Eastspring Investments. Reliance upon information in this posting is at the sole discretion of the reader. Please consult your own professional adviser before investing.

 

Investment involves risk. Past performance and the predictions, projections, or forecasts on the economy, securities markets or the economic trends of the markets are not necessarily indicative of the future or likely performance of Eastspring Investments or any of the funds managed by Eastspring Investments.


Information herein is believed to be reliable at time of publication. Data from third party sources may have been used in the preparation of this material and Eastspring Investments has not independently verified, validated or audited such data. Where lawfully permitted, Eastspring Investments does not warrant its completeness or accuracy and is not responsible for error of facts or opinion nor shall be liable for damages arising out of any person’s reliance upon this information. Any opinion or estimate contained in this document may subject to change without notice.


Eastspring Investments (excluding JV companies) companies are ultimately wholly-owned/indirect subsidiaries/associate of Prudential plc of the United Kingdom. Eastspring Investments companies (including JV’s) and Prudential plc are not affiliated in any manner with Prudential Financial, Inc., a company whose principal place of business is in the United States of America.