in insights
แนวโน้มการลงทุนปี 2025: เมื่อภาษีนำเข้าและนโยบายสหรัฐฯ กลายเป็นตัวแปรสำคัญ
Download 2025 Mid-Year Outlook

แนวโน้มการเติบโตทั่วโลกในปี 2025 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของนโยบายการตั้งกำแพงภาษีและความไม่แน่นอนด้านนโยบายจากสหรัฐฯ โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.2%–1.5% ซึ่งมีความเสี่ยงด้านขาลงสูง แม้จะมีการดำเนินการลดภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 30% (พร้อมข้อยกเว้นบางรายการ) และกำหนดภาษีนำเข้า 10% แบบครอบคลุมสำหรับประเทศอื่น ๆ แต่ยังถือเป็นการขึ้นภาษีที่ส่งผลเทียบเท่ากับ 1.5% ของ GDP สหรัฐฯ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในการปรับเพิ่มภาษีรายปีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี นโยบายภาษีและการเติบโตที่ชะลอลงของสหรัฐฯ สื่อถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแรงลงสำหรับเอเชียและตลาดเกิดใหม่ (EMs) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศในภูมิภาคเหล่านี้ที่มีความยืดหยุ่นด้านนโยบายจะสามารถรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอกได้ดีกว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงประกอบกับความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ มีแนวโน้มจะทำให้เกิดกระแสเงินทุนบางส่วนไหลกลับจากดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปีหน้า ซึ่งจะสนับสนุนให้สกุลเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทำให้ธนาคารกลางมีช่องว่างในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อพยุงการเติบโต ทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งขึ้นและการลดดอกเบี้ยนี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดสินทรัพย์ในเอเชียต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ
การเพิ่มการลงทุนในเอเชียเข้าไปในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ช่วยให้นักลงทุนสามารถได้รับประโยชน์จากโอกาสที่หลากหลายและแตกต่าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยเสริมความยืดหยุ่นและเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์ระยะยาวของการเจรจาภาษียังคงสามารถสร้างความผันผวนให้กับตลาดในบางช่วงเวลา ในบริบทนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนโอกาสการเติบโตที่มากกว่าในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมูลค่าที่สูงเกินจริงของตลาดพัฒนาแล้ว การปรับพอร์ตจากตลาดที่ราคาสูงไปสู่ตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงและมูลค่าน่าลงทุนมากกว่านับเป็นกลยุทธ์ที่รอบคอบ
ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีราคาถูกที่สุดในโลกเมื่อเทียบจากอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price-to-Book) ขณะที่หุ้นจีนทั้ง A-shares และ H-shares ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นรายตัว (Bottom-up) ด้านหุ้นอินเดียก็ยังสะท้อนความแข็งแกร่ง แม้ในช่วงต้นปี 2025 จะถูกมองว่ามีมูลค่าสูงก็ตาม โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย ราคาน้ำมันที่ยังคงอ่อนแรง และกระแสเงินลงทุนในประเทศที่มีความยืดหยุ่น แม้ว่าราคาหุ้นอาจเป็นปัจจัยถ่วงในบางช่วง แต่ผู้จัดการกองทุนแบบ Active ยังสามารถค้นหาโอกาสได้
ในตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนยังสามารถเข้าซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีในราคาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะพันธบัตรท้องถิ่นในเอเชียที่ให้ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ในระดับสูงและมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ต่ำกับสินทรัพย์ในตลาดพัฒนาแล้ว และกำลังได้รับการบรรจุในดัชนีตราสารหนี้ระดับโลก ซึ่งช่วยเสริมบทบาทในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังควรวางตำแหน่งเพื่อรับมือกับความผันผวนในอนาคต โดยหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรับมากขึ้น เช่น กลยุทธ์ที่เน้นความผันผวนต่ำ (Low Volatility) ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงขาลงได้ ในขณะที่ยังเปิดโอกาสให้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาด