บทสรุป

 

เราเชื่อว่าการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งล่าสุดของจีน ได้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายสำคัญด้วยการมุ่งสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนตลาดการลงทุนของจีน ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นจีนกำลังให้ความสนใจกับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มดีขึ้นในหลายภาคส่วน และยังอาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจีนอีกด้วย

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่ารายละเอียดของงบประมาณใหม่ของจีน ที่ประกาศในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ออกมาเป็นไปตามความคาดหมาย หรืออาจน้อยกว่าคาดในบางประเด็น อย่างไรก็ตาม Ray Farris หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเรา มองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ ไปสู่การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดจีน เราคาดว่ารัฐบาลปักกิ่งพร้อมที่จะใช้งบประมาณเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้มากกว่า 4.5% ยกเว้นในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนในอัตราสูงถึง 50% - 60%

  • นโยบายที่ประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณเงินสดจาก 2.2% ของ GDP เป็นประมาณ 9.9% รวมถึงการเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณตามความหมายกว้าง (augmented deficit) จากประมาณ 1.7% - 1.8% ของ GDP เป็นราว 15% ของ GDP
  • ในมุมมองของนักวิเคราะห์ มีอยู่สองประเด็นที่ถือว่าน่าผิดหวังนั่นคือ การขยายโครงการสนับสนุนการเปลี่ยนสินค้าเก่าแลกใหม่ (trade-in subsidy) โดยให้เพิ่มขึ้นเพียงสองเท่ามาที่ 300,000 ล้านหยวน และกำหนดวงเงินการกู้ยืมของรัฐบาลกลางเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธนาคารของรัฐเพียง 500,000 ล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเรา การไปให้ความสำคัญเฉพาะรายละเอียดเหล่านี้อาจพลาดสาระสำคัญที่รัฐบาลจีนพร้อมจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายการเติบโต GDP ที่ 5% ในปี 2025 โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กล่าวชัดเจนว่ารัฐบาลยังมีมาตรการสำรอง (宏观经济政策还留有后手) ที่สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีเหตุจำเป็น

ในสถานการณ์ดังกล่าวชี้ว่ารัฐบาลอาจขยายตัวเลขขาดดุลภาคสาธารณะในความหมายกว้าง (augmented public sector deficit) ให้เกินจากประมาณการปัจจุบันที่ 1.7%-1.8% ของ GDP ในปีนี้ โดยอาจใช้วิธีดึงเงินฝากสะสมจากบัญชีงบประมาณ การโอนเงินจากบัญชีงบประมาณส่วนอื่น หรือแม้แต่การออกพันธบัตรระยะยาวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่จะทยอยออกเป็นระยะ เพื่อตอบสนองต่อความอ่อนแอของเศรษฐกิจในบางช่วง แทนที่จะเป็นมาตรการขนาดใหญ่เชิงรุกแบบที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2008-2010 โดยมาตรการสำคัญที่เรามองเห็นมีดังนี้ :

  • ให้ความสำคัญชัดเจนกับการกระตุ้นการบริโภค โดยการเพิ่มวงเงินสนับสนุนสำหรับการเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคเก่าแลกใหม่ (consumer goods trade-in subsidy) เป็นสองเท่าคือมาตรการสำคัญ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เพิ่มการจ่ายเงินบำนาญ และมีการโอนเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับ "กลุ่มเปราะบาง" อีกด้วย เจ้าหน้าที่ภาครัฐได้กล่าวถึงแผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภคที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในอนาคต ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างระบบสวัสดิการสังคม อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้นโยบายยังค่อนข้างคลุมเครือ โดยยังไม่มีการพูดถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง ในการเพิ่มสัดส่วนค่าจ้างต่อ GDP หรือการปฏิรูปสวัสดิการสังคมในวงกว้าง แต่ภาพรวมดูเหมือนว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่เป็นเชิงรุกมากกว่าปีที่ผ่านมา
  • การเพิ่มสัดส่วนของวงเงินออกพันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อสามารถนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นซัพพลายส่วนเกินในตลาด โดยประเด็นสำคัญคือ มีข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลอาจยกเลิกการกำหนดเพดานราคาที่รัฐบาลท้องถิ่นสามารถจ่ายได้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการนำไปใช้ต่อไป รายงานจากสื่อ Caixin ระบุว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในระดับประเทศ และเร่งการปฏิรูปสิทธิการใช้ที่ดินและสิทธิพำนักในเขตเมือง
  • ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (RRR) และอัตราดอกเบี้ยลงอีก 50 bps ในปีนี้ หรืออาจมากกว่านั้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคในช่วงสองเดือนแรกของปีอยู่ที่ –0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • เงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอาจดีขึ้น รัฐบาลกลางได้ประกาศแผนตรวจสอบและควบคุมการเก็บภาษีที่เกินความจำเป็นของรัฐบาลท้องถิ่นต่อธุรกิจเอกชน รวมถึงเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลท้องถิ่นชำระหนี้ค้างชำระให้กับภาคเอกชน โดยโครงการแปลงหนี้จะช่วยสนับสนุนในส่วนนี้ นอกจากนี้ จะมีการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าถึงสัญญาจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลมากขึ้น โดยคาดว่ากฎหมายคุ้มครองเศรษฐกิจภาคเอกชน (Private Economy Protection Law) อาจผ่านความเห็นชอบในเร็วๆ นี้ แม้การดำเนินการจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับภาคธุรกิจ

ผลกระทบและแนวโน้มต่อการลงทุน

สัญญาณเชิงบวกต่อตลาด

แม้ว่าการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหนือความคาดหมายมากนัก แต่ตลาดหุ้นจีนทั้งในตลาด H-share และ A-share ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ตลาดมักปรับตัวลงเมื่อมีการประกาศมาตรการกระตุ้นที่เป็นไปตามคาด Yuan Yiu Tsai ผู้จัดการกองทุนฝ่ายตราสารทุน มองว่าสถานการณ์นี้เป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นเริ่มให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานที่ปรับตัวดีขึ้นในหลายภาคส่วน มากกว่าการหวังพึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับ AI เขามองว่าหุ้นกลุ่มวัฏจักรภายในประเทศ (domestic cyclicals) จะเป็นแรงขับเคลื่อนรอบใหม่ของการปรับมุมมองต่อมูลค่าตลาด เนื่องจากระดับราคายังคงน่าสนใจ เขามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโบรกเกอร์ โดยคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาด IPO และการเพิ่มทุนจากฐานที่ต่ำในปัจจุบัน นอกจากนี้ เขายังคาดว่าบริษัทในกลุ่มปูนซีเมนต์และเหล็กจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปด้านอุปทาน และการเร่งตัวของโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่กลุ่มเครื่องจักรก่อสร้างน่าจะได้อานิสงส์จากการถึงรอบการเปลี่ยนสินทรัพย์ใหม่ ส่วนบริษัทผู้ผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์นม (dairy products) มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และการกลับสู่ภาวะปกติของราคาน้ำนมดิบ

จับตาแรงขับเคลื่อนด้านการบริโภค

การให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคและการเพิ่มรายได้ของครัวเรือน เป็นประเด็นสำคัญสำหรับ Xiaochong Yao ผู้จัดการกองทุนตราสารทุนตลาดเกิดใหม่ (GEM equities) โดยในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ปีนี้ เขาเชื่อว่านี่จะยังคงเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของจีนในช่วงทศวรรษหน้า เนื่องจากรูปแบบการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนของจีนกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัด และเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น การเติบโตของการบริโภคมีโอกาสเร่งตัวขึ้นเนื่องจากระดับเงินออมของครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยในความเป็นจริง เราอาจกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนสำคัญแล้ว เนื่องจากเงินออมส่วนเกินของครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว (ไม่เกิน 5-6%) นับตั้งแต่ปี 2024 โดยสูงสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 และเริ่มปรับลดลงในไตรมาสที่ 3

ด้วยเหตุนี้ ทีมบริหารการลงทุนตราสารทุนตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก (Global Emerging Markets equity) ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อบางกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ซึ่งรวมถึงอีคอมเมิร์ซ อาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ และอื่นๆ ทั้งนี้ ทีมบริหารยังคงเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยมองหาหุ้นที่มีโอกาสเฉพาะตัว และมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมจัดการความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดด้านภาษีระหว่างสหรัฐและจีนอย่างรอบคอบ

โอกาสที่มากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

Jocelyn Wu ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน Greater China มองว่าสภาพแวดล้อมด้านนโยบายในปัจจุบันเปิดโอกาสการลงทุนมากขึ้นในตลาดหุ้นจีน โดยชอบหุ้นในกลุ่มสินค้าบริโภคพื้นฐาน (consumer staples) และบางกลุ่มในสินค้าที่ไม่จำเป็น (consumer discretionary) ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม รวมถึงหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (TMT) ที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการ หรือจากการลดต้นทุน ในขณะเดียวกัน Jocelyn ยังสังเกตว่ากลุ่มผู้ลงทุน A-shares ในประเทศดูเหมือนจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวด้าน AI และเทคโนโลยีมากกว่าการประชุม NPC ในปีนี้

พร้อมกันนี้ ทีมบริหารกองทุนหุ้นจีน A-shares และหุ้นใน Greater China ยังคงติดตามความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด เหตุการณ์สำคัญที่ทีมให้ความสนใจได้แก่ การสอบสวนการขนส่งทางทะเลภายใต้มาตรา 301 (วันที่ 24 มีนาคม) การหมดอายุของข้อยกเว้นภายใต้มาตรา 301 (วันที่ 15 เมษายน) และความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นภาษี หลังจากการทบทวนเชิงนโยบายตามแนวทาง "America First" ทั้งนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ความเสี่ยงจะไม่สอดคล้องกับการตอบสนองเชิงนโยบาย โดยรัฐบาลอาจมีการประกาศมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้าในการประชุม Politburo ช่วงปลายเดือนเมษายน แต่การปรับนโยบายที่มีนัยสำคัญอาจจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงการประชุม Politburo ในเดือนกรกฎาคม

จังหวะที่น่าสนใจในการกลับเข้าลงทุน

Matthew Kok ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้เอเชีย มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในปีนี้มีแนวโน้มที่จะทยอยออกมาเป็นระยะและตอบสนองต่อสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ทิศทางนโยบายในปัจจุบันและสภาพเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะที่ไม่ตึงตัวมากเกินไป ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนพันธบัตรรัฐบาลจีน และการปรับฐานครั้งล่าสุดของตลาดได้เปิดโอกาสที่น่าสนใจในการกลับเข้าไปลงทุน หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา

แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายของจีนยังคงยืนยันว่าการดำเนินนโยบายการเงินจะ "ผ่อนคลายในระดับเหมาะสม" แต่ราคาพันธบัตรรัฐบาลจีนก็ปรับตัวลงแรงหลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ไม่ได้ประกาศการปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (Reserve Requirement Ratio: RRR) ดังที่ตลาดคาดหวัง โดยเขามองว่าจังหวะการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของค่าเงินหยวน (RMB) เป็นสำคัญ ซึ่งเสถียรภาพของเงินหยวนก็มีความเชื่อมโยงกับท่าทีของเฟดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอาจยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและเฟดอาจคงดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี จีนก็ยังมีเครื่องมืออื่นในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบได้ เช่น การทำธุรกรรม reverse repo หรือการกลับมาใช้มาตรการซื้อพันธบัตร (การขยายงบดุล) อีกครั้ง

Interesting reads

Know more
ESG เส้นทางสู่ความยั่งยืน

in insights

ตราสารทุน

ESG เส้นทางสู่ความยั่งยืน

25 เม.ย.

เรามุ่งเน้นในการลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment หรือ RI) และแสดงให้เห็นถึง ...

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนเมษายน

in insights

กองทุนรวมผสม

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนเมษายน

18 เม.ย. | Ray Farris , Vis Nayar

เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ขณะที่ความเสี่ยงของภาวะถดถอยก็เพิ่มขึ้นอย่า ...

ปรับตัวรับมือผลกระทบ
จากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ

in insights

กองทุนรวมผสม

ปรับตัวรับมือผลกระทบ จากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ

04 เม.ย.

เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริก ...

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนมีนาคม

in insights

กองทุนรวมผสม

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนมีนาคม

15 มี.ค. | Ray Farris , Vis Nayar

ตลาดกำลังสะท้อนถึงผลกระทบจากสงครามภาษีของทรัมป์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งชี้ ...

การประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐ และความท้าทายต่อ “US Exceptionalism”

in insights

กองทุนรวมผสม

การประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐ และความท้าทายต่อ “US Exceptionalism”

07 มี.ค.

ในความเคลื่อนไหวล่าสุดของตลาดและการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเ ...

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนกุมภาพันธ์

in insights

กองทุนรวมผสม

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนกุมภาพันธ์

18 ก.พ. | Ray Farris , Vis Nayar

แม้จะมีความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษี แต่ผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดได้ช่วยให้ผลตอบแทนใน ...

เฟด : บอกฉันหน่อยว่าคุณอยากลดดอกเบี้ย… ก็แค่ไม่พูดออกมาดังๆ

in insights

เฟด : บอกฉันหน่อยว่าคุณอยากลดดอกเบี้ย… ก็แค่ไม่พูดออกมาดังๆ

11 ก.พ.

เฟดยังคงดอกเบี้ยไว้ที่เดิม แต่จับตาสถานการณ์การว่างงานอย่างใกล้ชิด แถลงการณ์การประชุม ...

ยุทธศาสตร์การคลังอินเดีย: โรดแมปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

in insights

กองทุนรวมผสม

ยุทธศาสตร์การคลังอินเดีย: โรดแมปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

05 ก.พ.

งบประมาณใหม่ของอินเดียตั้งเป้าลดการขาดดุลลงเหลือ 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2026 จาก 4. ...

มุมมองการลงทุนจาก CIO
ประจำเดือนมกราคม

in insights

กองทุนรวมผสม

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนมกราคม

17 ม.ค. | Ray Farris , Vis Nayar

การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง แต่เผชิญกับความไม่แน่นอนด้านนโยบาย โดยเฉพาะเรื ...

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนธันวาคม

in insights

กองทุนรวมผสม

มุมมองการลงทุนจาก CIO ประจำเดือนธันวาคม

23 ธ.ค. | Vis Nayar

ข้อมูลที่ออกมาไม่สอดคล้องกันและความกังวลต่อการเติบโตของจีนกำลังถูกลดแรงกดดันลงด้วยมาตร ...

ข้อมูล คำแนะนำบทวิเคราะห์ และการแสดงความเห็นต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในเอกสารฉบับนี้ ได้จัดทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ได้รับมาจาก แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และให้ความเห็นตามหลักวิชาการเท่านั้นโดยไม่มุ่งหมายให้ถือเป็นการชักชวนหรือชี้นำให้ซื้อ และ/หรือขายผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนประเภทต่างๆ ตามที่ปรากฎในเอกสารฉบับนี้ และไม่ถือเป็นการให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนของบริษัทต่างๆ ตามที่ระบุหรือถูกกล่าวถึงไว้ในเอกสารฉบับนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ทีมงานไม่อาจยืนยันและรับรองความครบถ้วนสมบูรณ์หรือถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวข้างต้นได้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ทีมงานไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายในรายได้ หรือประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกิดขึ้นจากการนำ ข้อมูล ข้อความ ความเห็น และ/หรือบทสรุปต่างๆ ที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใดๆ

ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของทีมผู้เขียน มิได้เป็นความคิดเห็นอย่างเป็นทางการของ บลจ. อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ดังนั้น บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จึงไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เอกสารควรใช้คู่กับหนังสือชี้ชวน

การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงในการลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนมากกว่าหรือน้อยกว่าการลงทุนเริ่มแรกก็ได้ และอาจไม่ได้รับชำระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนภายในระยะเวลาที่กำหนดหรืออาจไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามที่มีคำสั่งไว้

แม้ว่ากองทุนรวมตลาดเงินลงทุนได้เฉพาะทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีโอกาสขาดทุนได้ การลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตลาดเงินไม่ใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงจากการลงทุนซึ่งผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน