กำจัดวัชพืช

ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลมักถูกมองว่ามีความเสี่ยงน้อย แต่บางบริษัทอาจมีงบดุลที่แข็งแกร่งกว่ารัฐบาล ตัวอย่างเช่นพันธบัตรของบริษัทชั้นนำในตลาดพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าพันธบัตรของรัฐบาลตลาดเกิดใหม่

คุณสามารถวัดคุณภาพของพันธบัตรได้จากอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิต พันธบัตรในระดับ Investment grade ได้รับการจัดอันดับ BBB- หรือสูงกว่า (สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส) หรือ Baa3 หรือสูงกว่า (มูดี้ส์) พันธบัตรที่ได้รับอันดับต่ำกว่าจะถือว่าเป็นพันธบัตรประเภทเก็งกำไรหรือ junk bonds

เคล็ดลับ: พันธบัตรที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่ามักจะมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระที่ต่ำกว่า

หากคุณซื้อพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จะมีการจ่ายดอกเบี้ยหรือคูปองแบบคงที่ไปจนกว่าพันธบัตรจะครบอายุ หากคุณซื้อพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อัตราดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไปตามสภาพตลาด โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวจะกำหนดในอัตราคงที่ สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน เช่น 25 basis points + อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารในลอนดอน (LIBOR)

ไม่เสมอไป หากคุณเป็นเจ้าของพันธบัตรประเภทที่ให้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด (callable bond) ผู้ออกสามารถซื้อคืนพันธบัตรได้ในราคาที่ระบุไว้ก่อนครบกำหนด เหตุการณ์นี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง เนื่องจากผู้ออกตราสารสามารถออกพันธบัตรใหม่ได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

เคล็ดลับ: Callable bond มักจะมาพร้อมกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยให้แก่ผู้ซื้ออันเนื่องมาจากลักษณะความยืดหยุ่นของตราสารประเภทนี้

ในขณะที่พันธบัตรที่ไม่มีกำหนดวันไถ่ถอน หรือ Perpetual bonds ผู้ออกจะจ่ายดอกเบี้ยไปตลอดและไม่มีการไถ่ถอนคืนเงินต้น.

เคล็ดลับ: แม้ว่าสิ่งนี้อาจฟังดูน่าสนใจ แต่พึงระลึกไว้ด้วยว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลกระทบทางด้านลบต่อราคาพันธบัตรประเภทไม่มีกำหนดไถ่ถอน รุนแรงกว่าพันธบัตรที่มีอายุการไถ่ถอนที่สั้นกว่า

กรีนบอนด์ เป็นพันธบัตรที่นำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหรือรีไฟแนนซ์ ทั้งหมดหรือบางส่วน ให้แก่กิจกรรม โครงการ หรือสินทรัพย์ อันนำไปสู่ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม

พันธบัตรประเภทนี้อาจออกโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาต่างๆ เช่น ธนาคารโลก บริษัทเอกชน หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และรัฐบาล

คุณสามารถดูความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อื่น ที่มีอายุการไถ่ถอนคล้ายคลึงกัน แต่มีความเสี่ยงด้านเครดิตที่แตกต่างกัน เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หากความแตกต่าง (credit spread) อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แสดงว่ามีโอกาสที่ราคาพันธบัตรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะ credit spread แคบลง

Current yield และ Yield to maturity เป็นสองวิธีที่ใช้ดูผลตอบแทนพันธบัตร

เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรที่มีการชำระคืนแบบคงที่จะมีความน่าสนใจน้อยลง ซึ่งส่งผลฉุดให้ราคาพันธบัตรลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาพันธบัตรอาจปรับตัวสูงขึ้นได้เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง ในส่วนตราสารหนี้ภาคเอกชน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมักจะช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตของตราสารหนี้ และทำให้ราคาพันธบัตรมีแนวโน้มสูงขึ้น

โดยทั่วไปแล้ว เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) จะลาดเอียงขึ้น สะท้อนการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อ (และอัตราดอกเบี้ย) สูงขึ้นในอนาคต ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทุกครั้งที่ yield curve มีลักษณะลาดเอียงลง (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น ) แม้ว่าภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นตามหลังหนึ่งหรือสองปีหลังจากที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีลักษณะดังกล่าว งานวิจัยบางชิ้น¹ ชี้ว่าความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น แต่ไม่ใช่ในกรณีกลับกัน

กำหนดการไถ่ถอนพันธบัตร (Bond maturity) แสดงค่าเป็นปี ซึ่งได้แก่วันที่ครบกำหนดชำระคืนเงินต้นของพันธบัตร ส่วนระยะเวลาของพันธบัตร (Bond duration) ก็แสดงค่าเป็นปีเช่นกัน แต่ไว้ใช้ตรวจดูความอ่อนไหวของราคาพันธบัตรต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

กลยุทธ์ตราสารหนี้ประเภทมุ่งสร้างรายได้ (income-only bond strategy) มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้คุณมีแหล่งรายได้ที่วางใจได้ แต่อาจจำกัดประเภทของตราสารที่กลยุทธ์เลือกลงทุน ในทางกลับกัน กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนโดยรวม (total return strategy) จะมุ่งแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดจากทั้งกระแสรายได้และส่วนต่างของราคา (capital gains) และด้วยเหตุนี้จึงสามารถเลือกตราสารหนี้ได้หลากหลายมากขึ้น ความผันผวนของกลยุทธ์จะแตกต่างกันไปซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารที่ลงทุน

หากความต้องการที่แท้จริงของคุณคือการได้รับรายได้อย่างสม่ำเสมอ ขอแนะนำพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดแตกต่างกัน เช่น กลยุทธ์แบบขั้นบันไดหรือ laddering strategy การสร้างพอร์ตตราสารหนี้ให้มีการกระจายอายุตราสารออกไปในลักษณะขั้นบันไดนี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยและลดความเสี่ยงจากการนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปลงทุนต่อหรือ reinvestment risks

หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุครบกำหนดตามขั้นบันไดด้านล่างอาจนำไปลงทุนใหม่ในตราสารหนี้ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ในทางกลับกันหากอัตราลดลงตราสารที่มีอายุยาวขึ้นที่ด้านบนสุดของขั้นบันไดจะยังคงจ่ายอัตราดอกเบี้ยคูปองที่สูงขึ้นและอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาเนื่องจากความน่าดึงดูดของตราสารที่เพิ่มขึ้น ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้รายได้โดยรวมที่เกิดขึ้นในพอร์ตตราสารหนี้แบบขั้นบันไดมีความราบรื่น พอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้แบบขั้นบันไดยังให้คุณสมบัติด้านการกระจายความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

แม้ว่าอันดับเครดิตจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร แต่นั่นก็อาจไม่สามารถสะท้อนภาพได้ทั้งหมดเสมอไป ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าบางวิกฤตที่ผ่านมาอย่างเช่นวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) บริษัทจัดอันดับเครดิตต่างๆ มีการตอบสนองที่ช้าเกินไปในการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบางบริษัท ทำให้ผู้ลงทุนได้รับความเสียหายอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทที่บริหารจัดการดีและไม่ดีอีกมากมายที่อาจไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ที่ใช้กลยุทธ์เชิงรุกบางรายมีกรอบการทำงานที่จัดทำขึ้นเองพร้อมกับมีการจัดอันดับตราสารที่ใช้เป็นการภายในเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการลงทุน

เครดิตสเปรดสะท้อนถึงอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ตราสารหนี้เอกชนเสนอให้สูงกว่าตราสารที่ปราศจากความเสี่ยงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนได้รับ การเคลื่อนไหวของเครดิตสเปรดอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในสถานะความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านดีมานด์ของตราสารหนี้ และลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของฝั่งซัพพลาย และแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม โดยทั่วไปแล้วสเปรดที่ลดลงบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระคืนของผู้ออกตราสาร แต่หากสเปรดกว้างขึ้นก็จะสะท้อนถึงภาพที่ตรงกันข้าม

การผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนดด้วยเหตุผลหลายประการ ในกรณีที่เกิดการผิดนัดชำระ ผู้ถือตราสารหนี้สามารถถือตราสารไว้ต่อไปและยังไม่ได้รับเงินจนกว่าผู้ออกตราสารจะสามารถขายสินทรัพย์ของตนและแจกจ่ายคืนเงินที่ได้ กระบวนการทั้งหมดนี้อาจใช้เวลา (นานเป็นเดือนหรือปี) และคุณก็ยังอาจไม่ได้รับเงินคืนทั้ง 100% ของเงินต้นในตราสารหนี้ ส่วนอีกทางเลือกนั้นก็คือคุณอาจขายตราสารหนี้ในราคาส่วนลดซึ่งถูกชี้นำจากข้อมูลในตลาดรอง